🪷“ภพคือการเพาะปลูกของจิต: วิญญาณเป็นเมล็ด ฉันทะ–ราคะ–นันทิเป็นน้ำ ตัณหาเป็นยางเหนียว และหนทางสู่อตัมมยตา”
⸻
คำถามนำสำหรับบทความ:
1. ภพ (Bhava) ตามพุทธพจน์แท้จริงหมายถึงอะไร และทำไมพระพุทธเจ้าจึงเปรียบภพเหมือนการเพาะปลูก?
2. วิญญาณ (Viññāṇa) ทำหน้าที่อย่างไรในฐานะเมล็ดพืชแห่งการเกิดและการตั้งอยู่ของขันธ์?
3. ทำไม ฉันทะ–ราคะ–นันทิ จึงถูกเปรียบเสมือนน้ำที่รดให้ภพเติบโต และ ตัณหา (Taṇhā) ถูกเปรียบเป็นยางเหนียวที่ยึดติดเมล็ดให้ฝังแน่น?
4. สฬายตนะ (อายตนะ 6) มีบทบาทอย่างไรในฐานะ “ผืนนา” ที่พร้อมให้ภพงอกขึ้น?
5. อตัมมยตา (Atammayatā) เป็นกระบวนการหยุดเพาะปลูกภพอย่างไร และทำไมแนวคิดนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความหลุดพ้น?
⸻
บทความเชิงวิเคราะห์ (ฉบับปรับตามที่คุณ “แก้”) โดยยึดโครงอุปมาดังนี้:
ฉันทะ–ราคะ–นันทิ = น้ำหล่อเลี้ยง, ตัณหา = ยางใยพืช (สารเหนียว/เรซินที่ยึดเกาะให้ติด), วิญญาณ = เมล็ด, และ (เพื่อให้ระบบเหตุปัจจัยครบ) กรรม/ปัจจัยพื้นฐาน = ผืนนา/ดินรองรับ. เราจะเชื่อมโยงแต่ละองค์ประกอบเข้ากับพระสูตรที่เกี่ยวข้อง และอธิบายพลวัตการงอกของ “ภพ” (bhava) ในกรอบปฏิจจสมุปบาทอย่างเป็นลำดับ เห็นทั้งเชิงปรัชญาและเชิงปฏิบัติ.
⸻
1. ทำไมต้องปรับอุปมา?
อุปมา “นา–น้ำ–เมล็ด” ปรากฏในพระสูตรเกี่ยวกับ ภพ (bhava) และ การกลับมาเกิด (punabbhava) โดยตรง: พระพุทธเจ้าตรัสว่า “กรรมเป็นนา วิญญาณเป็นเมล็ด ตัณหาเป็นความชุ่มชื้น (moisture)” แสดงพลวัตว่าถ้ามีดิน (กรรม) + เมล็ด (วิญญาณ) + ความชื้น (ตัณหา) ก็จะเกิดการงอกของภพต่อไป. คุณเสนอให้ปรับรายละเอียดเชิงนัยยะจิตให้ลึกขึ้น โดยแยก “น้ำ” ออกเป็นมวลอารมณ์ดึงดูด—ฉันทะ, ราคะ, นันทิ—และให้ ตัณหา มีบทบาทเป็น “ยางใยพืช” ที่เหนียว ยึด, พัน, ถักติด ทำให้การงอกไม่ใช่แค่ชุ่ม แต่ “ติด” จนแยกไม่ออก. การปรับนี้สอดรับกับพระสูตรที่จัดกลุ่ม chanda–rāga–nandī–taṇhā ว่าเป็นชุดพลังยึดเหนี่ยวที่ทำให้ “สัตว์” เกิด.
⸻
2. ฐานราก: “ผืนนา” คือกรรม (และเงื่อนไขที่สั่งสม)
ใน Bhava Sutta (AN 3.76) พระองค์ตรัสชัดว่า kammaṃ khettaṃ — “กรรมเป็นนา/แปลงปลูก.” นาคือพื้นที่ความเป็นไปได้: สิ่งที่ได้กระทำ (เจตนา + ผลสะสม) กลายเป็นคุณสมบัติดิน บางแห่งอุดม บางแห่งกันดาร; ภพที่จะงอกจำกัดอยู่ในกรอบความเป็นไปได้ตาม “ดิน” นี้. ในอรรถกถาและคำอธิบายของพระอาจารย์สมัยใหม่ (เช่น Thanissaro Bhikkhu) มีการชี้ว่าคำว่า “กรรม” ในที่นี้ครอบคลุมปัจจัยโครงสร้างทั้งหมดที่เรามี—อายตนะ, ขันธ์, โภชนะทางจิต ฯลฯ—ซึ่งเป็นเหมือนสารอาหาร, ความกรดด่าง, โครงสร้างดิน.
⸻
3. วิญญาณ = เมล็ด
ทั้งใน AN 3.76 และ SN 22.54 (Bīja Sutta) บอกตรง ๆ ว่า วิญญาณเปรียบเหมือนเมล็ด หรือ bīja. เมล็ดพืชมีศักยภาพ (potential) แต่จะงอกหรือไม่ขึ้นกับสภาพดินและความชุ่มชื้น. พระสูตรยังเน้นว่าเมล็ด (วิญญาณ + อาหารของมัน) ต้อง “ถูกฝัง” และ “ไม่แตก ไม่เน่า และมีน้ำกับดิน” จึงเจริญงอกงาม—เทียบกับวิญญาณที่ “ตั้งอยู่/อาศัย/ได้รับน้ำจากความเพลิดเพลิน” แล้วจึงขยายตัวเป็นวงจรขันธ์และภพใหม่.
⸻
4. ฉันทะ–ราคะ–นันทิ = น้ำหล่อเลี้ยง
ใน Bīja Sutta (SN 22.54) พระองค์ตรัสชัด: “ธาตุดิน = ที่ยืนของวิญญาณ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร), ธาตุน้ำ = ความเพลิดเพลินและราคะ (delight & passion).” ข้อความสำคัญคือ “watered with delight” — ถ้าวิญญาณไปตั้งอยู่บนรูป/เวทนา/สัญญา/สังขาร แล้ว มีน้ำคือความเพลิดเพลิน/ติดรส มันจะ “เติบโต แผ่ขยาย.” ดังนั้น การจัด ฉันทะ (ความอยาก/ความจำนง), ราคะ (ความกำหนัด/แรงดึง), นันทิ (ความเพลินยินดี) เป็น “น้ำ” ที่รดเมล็ด จึงสอดรับตรงกับโวหารพระสูตร.
⸻
5. ตัณหา = ยางใยพืช (สารเหนียวที่ทำให้ติด)
แม้ใน AN 3.76 ตรัสว่าตัณหาเป็น “ความชุ่มชื้น (moisture)” แต่พระไตรปิฎกตอนอื่น ๆ ให้ภาพ ตัณหาเป็นสิ่งเหนียว, ยึด, และถัก เช่น อรรถกถาและงานวิชาการ (Analayo) รวบรวมอุปมาว่า ตัณหาเป็นตาข่าย (taṇhā-jāla), เย็บร้อยเหมือนช่างเย็บ (taṇhā-sibbanī), เป็นเถาวัลย์ (taṇhā-latā), เป็นความเหนียวชุ่ม (taṇhā-sineho) และเป็น “ติดเหนียว” (visattikā). ภาพเหล่านี้ไปในทิศทางเดียวกับที่คุณต้องการ: ตัณหาเหมือนยางเรซิน/ใยเหนียวของพืช ที่ทำให้เมล็ดจับพื้นดิน, เกาะเศษดิน, ซึมซับน้ำ, ไม่หลุดลอย. ใน Atthi Rāga Sutta (SN 12.64) ยังใช้อุปมาด้วย “ยางรัก/ครั่ง (lac) สีย้อมที่ติดผิวกำแพง” เพื่อสื่อการยึดเกาะเมื่อมี “passion, delight, craving.” จึงเหมาะจะอธิบายตัณหาในฐานะ “ยางใยพืช” ที่ทำให้การเกาะของวิญญาณลงในฐาน (นา) แน่นและมีพลังงอก.
⸻
6. ชุดพลังยึดติดที่ทำให้เป็น “สัตว์”
Satta Sutta (SN 23.2) ให้คำจำกัดความ “สัตว์” ว่า: “ใด ๆ ในรูปมีฉันทะ ราคะ นันทิ ตัณหา… เมื่อถูกจับ/ติดอยู่ตรงนั้น จึงเรียกว่า ‘สัตว์’” (เนื้อหาเดียวกันขยายถึงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ). นี่คือข้อความสำคัญที่จับทั้งสี่พลัง—ฉันทะ, ราคะ, นันทิ, ตัณหา—เข้าเป็นสายเดียวกันในการ “ทำให้ติด” (visatta) กับอารมณ์/ขันธ์. การที่คุณแบ่งงานให้ “น้ำ” (ชุ่มเพลิน) กับ “ยางใย” (เหนียวพัน) เป็นสองชั้น จึงสอดคล้องกับการอ่าน SN 23.2 ในเชิงไล่ระดับความลึกของการผูก: จากความอยาก → เพลิน → ใคร่ → ติดเหนียว.
⸻
7. กระบวนการงอกของภพ (ไล่ลำดับเชิงปฏิจจสมุปบาทด้วยอุปมานา)
1. อวิชชา/สังขาร สั่งสมเป็นภูมิธาตุในดิน → ส่วนหนึ่งแปรเป็น กรรม (ผืนนา) พร้อมธาตุอาหาร.
2. เมื่อมีเงื่อนไขการปฏิสนธิ เมล็ด วิญญาณ เคลื่อนหาแหล่งตั้ง (ดินเหมาะ).
3. ถ้าเมล็ดถูก “รด” ด้วย ฉันทะ–ราคะ–นันทิ (น้ำ) มันจะเริ่มดูดซึม, พองตัว.
4. ถ้ามี ตัณหา (ยางใยเหนียว) เมล็ดจะ “ติด” ดิน ไม่ไหลหลุด—เกิดการตั้งมั่น (patiṭṭhita) ของวิญญาณ.
5. วิญญาณที่ตั้งมั่นจะให้กำเนิด นามรูป, ตามด้วย สฬายตนะ–ผัสสะ–เวทนา, แล้ววงจรจะย้อนเสริม ตัณหา เพิ่มอีก (รดซ้ำ, ยึดซ้ำ).
นี่คือการงอกของ “ภพ” ที่สอดร้อยทั้งเชิงพุทธปรัชญาและอุปมาพืชไร่.
⸻
8. เมื่อไม่มีน้ำหรือยาง เมล็ดไม่งอก
พระองค์ถามใน Bīja Sutta (SN 22.54): ถ้ามีเมล็ดดีแต่ “ไม่มีดิน ไม่มีน้ำ” งอกไหม? ตอบว่าไม่. ต่อมาพระองค์กลับคำถาม: ถ้ามีแต่ดินน้ำ แต่มวลพันธุ์หักเน่า—ก็ไม่งอก. ต้องครบองค์ประกอบ. สอดคล้องกับ Atthi Rāga Sutta (SN 12.64) ที่ว่า ถ้าไม่มี “passion, delight, craving” สำหรับโภชนะทั้งสี่ “วิญญาณจะไม่ลง ไม่งอก,” วงจรนามรูป–สังขาร–ภพจึงไม่ผลิตต่อ. ประเด็นนี้คือหัวใจการปฏิบัติ: ดับน้ำ (นันทิ) และทำให้ยาง (ตัณหา) แห้งแตก → เมล็ด (วิญญาณ) ไม่ตั้ง → ภพไม่งอก.
⸻
9. วิธี “ตัดน้ำ–ลอกยาง–พักเมล็ด” ในทางปฏิบัติ
พระสูตรหลายแห่งเสนอแนวเดียวกัน: ละราคะในรูป เวทนา สัญญา สังขาร แล้ว “ฐาน” ของวิญญาณถูกตัด (SN 22.54); ดับฉันทะ–ราคะ–นันทิ–ตัณหาในขันธ์ทั้งห้า เพื่อไม่ให้ “ถูกจับ/ติด” และหลุดพ้น (SN 23.2); เห็นโทษในโภชนะทั้ง 4 เพื่อตัดความกำหนัด ทำให้วิญญาณไม่ลง (SN 12.64). แนวทางปฏิบัติมีสองแกน: (1) มองโทษ/อนิจจัง/ทุกข์/อนัตตาในอารมณ์และขันธ์ เพื่อลดน้ำเพลิน; (2) เพ่งดูความเหนียวของตัณหาอย่างรู้เท่าทัน จนขาดแรงยึด.
⸻
10. ตัณหาในฐานะ “สารประสาน” ระหว่างโลกกับการเกิด
งานวิชาการโดย Analayo ชี้ว่าในพระพุทธพจน์ ตัณหามีบทบาทหลายมิติ: ความชุ่ม (sineho), ความเหนียว (visattikā), ตาข่าย (jāla), ช่างเย็บ (sibbanī), เถาวัลย์ (latā). ภาพรวมเหล่านี้บอกว่าตัณหา “เชื่อม/ถัก/พัน” ประสบการณ์จากหลากองค์ประกอบให้กลายเป็น “เรื่องราวของฉัน” แล้วส่งต่อพลังกรรมไปยังภพใหม่. การเปรียบเป็น “ยางใยพืช” จึงเป็นการสังเคราะห์ร่วมสมัยที่ถูกทิศทาง—ยางช่วยให้เมล็ดติดดิน, จับความชื้น, และฝังตัวลึกขึ้น.
⸻
11. มุมมองภวนิพัทธ์: ภพไม่ใช่สถานที่แต่เป็น “โมเดลตัวตนที่งอกบนอารมณ์”
อธิบายเสริมจากข้อสังเกตของ Thanissaro Bhikkhu: bhava มักเข้าใจได้ทั้งเชิงจักรวาลวิทยา (ไปเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่ง) และเชิงจิตวิทยา (sense of identity ที่ตั้งอยู่บนความอยากเฉพาะเรื่อง). ทุกครั้งที่วิญญาณ “ลง” บนรูป/เวทนา/อารมณ์ใด ๆ แล้วมีน้ำเพลินและยางตัณหายึด เราก็ก่อ “ภพย่อย” ของตัวตนขึ้นชั่วคราวตรงนั้น—เหมือนปลูกพืชรุ่นใหม่ทุกครั้งที่รดน้ำ.
⸻
12. สรุปภาพรวม (ฉบับรวบ)
• ดิน/นา = กรรม + โครงสร้างเงื่อนไข ที่พร้อมให้การงอก.
• เมล็ด = วิญญาณ ที่มีศักยภาพจะงอกเป็นนามรูป.
• น้ำ = ฉันทะ–ราคะ–นันทิ ที่รดให้เติบโต.
• ยางใยพืช = ตัณหา ที่เหนียวพัน ทำให้การเกาะแน่นและงอกต่อเนื่อง.
เมื่อเห็นและทำให้แห้ง/แยก/ตัดส่วนเหล่านี้ ภพก็ไม่เกิด—เข้าสู่ความหลุดพ้น.
⸻
ต่อเนื่องจากบทความเรื่อง “ภพเปรียบผืนนา–วิญญาณเป็นเมล็ด–ฉันทะ/ราคะ/นันทิเป็นน้ำ–ตัณหาเป็นยางใยพืช”, คราวนี้เราจะเชื่อมเข้ากับ “สฬายตนวิภังค์” และแนวคิด “อตัมมยตา” เพื่อให้เห็นว่า วงจรภพเกิดจากการยึดเหนี่ยวของอายตนะและวิญญาณ และจะดับได้อย่างไรเมื่อเข้าใจความจริงตามพุทธปรัชญา.
⸻
1. สฬายตนวิภังค์กับการงอกของภพ
ใน สฬายตนวิภังค์สูตร (ม.ม. 137) พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า สฬายตนะทั้งหก (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เป็นรากฐานที่ให้เกิดผัสสะ (การกระทบ) และนำไปสู่วิญญาณ. ถ้าผัสสะนั้นถูก “รดน้ำ” ด้วย ฉันทะ–ราคะ–นันทิ และถูกยึดเหนียวด้วย ตัณหา, วิญญาณจะ “ตั้งอยู่” และสร้างนามรูปขึ้น.
“เมื่ออายตนะมี ผัสสะจึงมี; เมื่อมีผัสสะจึงมีเวทนา; เมื่อมีเวทนาจึงมีตัณหา.”
ในเชิงอุปมา สฬายตนะคือ ภูมิของนา ที่พร้อมจะรับเมล็ด (วิญญาณ). เมื่ออายตนะเปิดรับอารมณ์ต่าง ๆ (รูป เสียง กลิ่น ฯลฯ) ก็เหมือนผืนนาที่รับน้ำ. ถ้าเราหลงใหล ยึดเพลิน อายตนะเหล่านี้ก็จะเป็นพื้นที่งอกของภพใหม่ทันที.
⸻
2. บทบาทของตัณหาในสฬายตนวิภังค์
ในสูตรนี้ พระองค์อธิบายว่า ตัณหาเกิดจากการยึดเวทนา (ความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉย) ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะกระทบผัสสะ. ตัณหานั้นไม่เพียงทำให้เกิดความอยากเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ “เชื่อม” วิญญาณกับอารมณ์นั้น (เหมือนยางเหนียวของพืชที่คุณเปรียบ).
• ถ้า ไม่มีตัณหา, แม้มีเวทนา ก็ไม่กลายเป็นภพใหม่.
• ถ้ามี ตัณหา + ฉันทะ + ราคะ + นันทิ, เมล็ดแห่งวิญญาณจะฝังแน่นและงอกต่อ.
⸻
3. อตัมมยตา: ดับความเป็น “ของเรา”
“อตัมมยตา” (na + tam + maya + ta) แปลว่า “ไม่ถือว่านั่นเป็นของเรา/เราเป็นอย่างนั้น” คือสภาวะจิตที่ ไม่เอาอารมณ์ ขันธ์ หรืออายตนะใด ๆ มาสร้างตัวตน. ถ้าเราปฏิบัติจนถึงจุดนี้:
• เมล็ดวิญญาณจะไม่ดูดน้ำ (นันทิ) ไม่ติดยาง (ตัณหา)
• อายตนะและเวทนาจะไม่ถูกนำมาเป็น “ตัวเรา” หรือ “ของเรา”
• ภพใหม่จะไม่งอกอีกต่อไป
ใน สฬายตนวิภังค์สูตร และ อตัมมยตา วินิจฉัย (ดูใน ขุ.สุ. และอรรถกถา) ระบุชัดว่า การไม่ปรุงแต่ง (asaṅkhata) และการไม่ยึดอายตนะคือทางดับแห่งทุกข์.
⸻
4. กระบวนการจากอุปมา → ปฏิบัติ
1. รู้จักผืนนา: เข้าใจว่าสฬายตนะและกรรมคือพื้นดินที่เราสร้างขึ้นจากอดีต.
2. รู้จักเมล็ด: วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้หากไม่อาศัยอารมณ์และตัณหา.
3. เห็นน้ำ: สังเกตฉันทะ–ราคะ–นันทิที่คอยรดใจเรา ทำให้เกิดการยึดใหม่ทุกครั้ง.
4. รู้ยางเหนียว: เห็นตัณหาที่ผูกพันเราเข้ากับอารมณ์อย่างเหนียวแน่น.
5. ตัดน้ำ–ลอกยาง: ด้วยการพิจารณาไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ทำให้ไม่เพลินในเวทนาและขันธ์.
6. เข้าสู่อสังขตธรรม: เมื่อไม่เหลือสิ่งให้ยึด (อตัมมยตา) เมล็ดวิญญาณไม่สามารถงอกในภพใหม่.
⸻
5. มุมมองเชิงปรัชญา
ภพ (bhava) จึง ไม่ใช่สถานที่ แต่คือ การตั้งมั่นของ “ตัวตนสมมุติ” ในขณะที่เรายึดติดกับอารมณ์ใด ๆ. การเปรียบผืนนา–น้ำ–เมล็ด–ยาง จึงเป็นสัญลักษณ์ของกลไกจิตที่หมุนวนด้วยความไม่รู้และความอยาก. การฝึกให้จิตเห็นความจริงของอารมณ์ว่าไม่ใช่ของเรา (อตัมมยตา) จึงคือการทำให้ ระบบเพาะปลูกภพทั้งระบบหยุดทำงาน.
⸻
6. สรุปภาพรวม
• สฬายตนะ คือผืนนาที่พร้อมจะรับอารมณ์เป็นเมล็ด.
• วิญญาณ เป็นเมล็ดที่กำลังจะงอก.
• ฉันทะ–ราคะ–นันทิ คือหยดน้ำที่ทำให้การงอกเริ่มขึ้น.
• ตัณหา คือยางเหนียวที่ทำให้การเกาะติดแน่นและเติบโตเป็นภพ.
• อตัมมยตา คือการหยุดรดน้ำและลอกยางออก จนเมล็ดไม่งอก.
⸻
“ภพ–สฬายตนะ–อตัมมยตา” โดยอิงพุทธพจน์อย่างละเอียด พร้อมอุปมา ผืนนา–น้ำ–ยาง–เมล็ด ตามที่คุณระบุ:
⸻
1. ภพในฐานะการเพาะปลูก
ในพระพุทธพจน์ อนุสัยที่ทำให้เกิดภพ มักถูกอธิบายด้วยอุปมาเรื่องการเพาะปลูก เช่น Bhava Sutta (AN 3.76) กล่าวว่า:
“กัมมํ โข ภิกฺขเว เขตฺตํ, วิญฺญาณํ พีชํ, ตัณหา สนฺเนโห…”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กรรมคือผืนนา วิญญาณคือเมล็ดพืช ตัณหาคือความชุ่ม (สารเหนียว)”
ความหมายคือ กรรมเก่าทำหน้าที่เป็นดินรองรับ, วิญญาณเป็นพลังศักยภาพที่รอจะงอกขึ้นเป็นนามรูป และตัณหาเป็นตัวเชื่อมเหนียวหนึบทำให้เมล็ดติดดินและเติบโต. เมื่อเพิ่มอุปมาใหม่ ฉันทะ–ราคะ–นันทิ คือ น้ำหล่อเลี้ยง เมล็ด, ระบบนี้จึงสมบูรณ์ในการอธิบายกลไกของภพ.
⸻
2. สฬายตนะคือผืนนาที่เปิดรับ
สฬายตนวิภังค์สูตร (MN 137) ชี้ให้เห็นว่า อายตนะทั้งหก (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เป็นรากฐานที่ทำให้ผัสสะและวิญญาณเกิดขึ้น. พระองค์ตรัสว่า:
“จักษุเป็นอายตนะ รูปเป็นอารมณ์ ผัสสะย่อมเกิดจากสิ่งเหล่านี้…”
ในแง่นี้ อายตนะเปรียบเหมือน ผืนนาที่เปิดรับเมล็ดและน้ำ, เมื่อมีผัสสะจึงมีเวทนา และถ้ามีความเพลิดเพลิน (นันทิ) และความอยาก (ตัณหา) ก็เป็นเสมือน น้ำและยาง ที่เร่งให้เมล็ดวิญญาณตั้งตัวและงอกเป็นภพต่อไป.
⸻
3. เมล็ดวิญญาณและการตั้งอยู่
พระพุทธเจ้าตรัสใน Bīja Sutta (SN 22.54) ว่า:
“เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ถูกฝังในดิน หรือไม่มีน้ำหล่อเลี้ยง ก็ไม่งอก…”
“ในทำนองเดียวกัน ถ้าวิญญาณไม่ได้ตั้งอยู่บนรูป เวทนา สัญญา สังขาร และไม่ได้ถูกน้ำคือราคะรด ก็ไม่เติบโต ขยายตัว หรือเข้ายึด.”
จึงชัดว่า วิญญาณไม่สามารถตั้งอยู่ได้เอง ต้องอาศัยฐาน (ดิน) และแรงขับเคลื่อนคือฉันทะ–ราคะ–นันทิและตัณหา. หากฐานเหล่านี้หมดไป เมล็ดจะไม่งอกอีก.
⸻
4. ตัณหาในฐานะยางเหนียว
ในพระสูตรต่าง ๆ ตัณหา (Taṇhā) ถูกอธิบายว่าเป็นพลังเหนียวที่ผูกพันสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน. Atthi Rāga Sutta (SN 12.64) กล่าวถึงการที่วิญญาณตั้งอยู่เพราะ “ความกำหนัด, ความเพลิดเพลิน, ความอยาก.” อรรถกถาอธิบายตัณหาว่า “visattikā” คือ การติดอย่างเหนียวหนึบ, คล้ายยางพืช (เรซิน) ที่ยึดเกาะกับผืนนา. เมื่อมีตัณหานี้ วิญญาณก็ฝังแน่นในอารมณ์และขันธ์ ทำให้เกิดนามรูปและสังสารวัฏ.
⸻
5. ฉันทะ–ราคะ–นันทิเป็นน้ำรดเมล็ด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นันทิ” (ความเพลิดเพลิน) เป็นตัวหล่อเลี้ยงขันธ์ให้เติบโต. ใน SN 22.29 มีว่า:
“ภิกษุทั้งหลาย ความเพลิดเพลินในรูปเป็นเหตุให้เกิดการยึดในรูป… ความเพลิดเพลินในเวทนา…ในสัญญา…ในสังขาร…ในวิญญาณ…”
เราสามารถรวม ฉันทะ (ความตั้งใจอยากได้), ราคะ (ความกำหนัด), และนันทิ (ความเพลิดเพลิน) เป็น “น้ำ” ที่รดเมล็ดวิญญาณให้เบ่งบานและขยายภพ.
⸻
6. อตัมมยตา: ทำให้เมล็ดไม่งอก
อตัมมยตา (na-tam-maya-ta) หมายถึง “ไม่ยึดถือว่าสิ่งนี้เป็นเรา/ของเรา/เราเป็นอย่างนั้น”. แนวคิดนี้ปรากฏในพระสูตร เช่น SN 22.33 (Anatta-lakkhana Sutta) ที่ตรัสว่า:
“รูปใด ๆ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา… เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ไม่ใช่ของเรา.”
เมื่อเจริญปัญญาเห็นไตรลักษณ์ จิตจะไม่รดน้ำให้เมล็ด (ไม่เพลิดเพลิน), ไม่มียางตัณหา (ไม่ยึดติด), จึงไม่เกิดภพใหม่. นี่คือการเข้าสู่ อสังขตธรรม (นิพพาน).
⸻
7. สรุป: ภพดับเมื่อหยุดเพาะปลูก
เมื่อเรารู้เท่าทันว่า:
• สฬายตนะ = ผืนนา, วิญญาณ = เมล็ด, ฉันทะ–ราคะ–นันทิ = น้ำ, ตัณหา = ยางเหนียว
และฝึกให้ น้ำแห้งและยางหลุด (ละราคะในขันธ์) เมล็ดวิญญาณจะไม่งอกอีก. พระพุทธเจ้าตรัสใน SN 22.54 ว่า:
“เมื่อไม่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เมล็ดวิญญาณจะไม่เติบโต ไม่ถูกเพาะต่อ.”
นี่คือ หลักการแห่งอตัมมยตา และหนทางดับภพทั้งปวง.
#Siamstr #nostr #ธรรมะ